เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ เม.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ทุกคนปรารถนาความดี แต่ความดีของคนมันมีหลากหลายนะ ความดีของเราเห็นไหม ดูเด็กสิ เชื่อฟังพ่อแม่ พ่อแม่เลี้ยงดูดีนี่ โอ้โฮ! เป็นเด็กดีเห็นไหม แต่เด็กดีก็ต้องมีวุฒิภาวะ มีการศึกษาของเขาไป พอโตขึ้นมาเห็นไหม การเลี้ยงลูกของพ่อแม่นะ เขาไม่โอ๋จนเกินไป ดูสิ คนเขามีฐานะเขามีเงิน เขาจะไม่ให้เงินลูกเขาโดยตามใจชอบ เพราะการให้เงินลูกเขาตามใจชอบเห็นไหม

บิลเกตส์มันเสียสละตั้งมูลนิธิ มันอุทิศหกหมื่นล้านเหรียญนะ แล้วมันบอกว่ามันไม่ให้ลูกมันเพราะอะไร เอาไว้ให้ลูกไว้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเขาทำเป็นมูลนิธิไว้เพื่อสังคม เพื่อโลก เขาพูดเองนะ เขาให้สัมภาษณ์ “ผมไม่ต้องการให้โรครวยทำลายลูกผม ถ้าลูกมันได้เงินแล้วใช้เงินจนนิสัยเสียไป โรครวยมันทำลายลูกผมได้ ผมจะเอาเงินนี้มาตั้งเป็นมูลนิธิของบิลเกตส์” หกหมื่นกว่าล้านเห็นไหม

ถ้าเรามีเงินมีทอง เราจะให้ลูกเรา เราก็ต้องให้เขาใช้โดยสมฐานะของเขา แล้วเขาจะต้องรู้จักคุณค่าของมัน นี่เรื่องของพ่อแม่นะ ถ้ารักลูกเห็นไหม แต่ถ้าพ่อแม่ใจอ่อน ลูกต้องการสิ่งใด ก็ให้ตามความปรารถนา ลูกต้องการสิ่งใด เราก็ให้ แต่เราก็ต้องใช้ปัญญา สิ่งนี้ได้มาด้วยสิ่งใด ด้วยประโยชน์สิ่งใด

ความดี! ความดีของเด็ก เด็กมันจะพัฒนาขึ้นมา แต่ความดีของพ่อแม่ล่ะ พ่อแม่นะ ถ้าพ่อแม่เราเคยทุกข์เคยยากมา เราซาบซึ้งรสชาติของความทุกข์อันนั้น ถ้าเราซาบซึ้งรสชาติของความทุกข์อันนั้น เราจะไม่ให้ความทุกข์อันนี้เบียดเบียนลูกเราเลย เราจะดูแลมันอย่างกับไข่ในหินเลย เพราะอะไร...เพราะเราเคยทุกข์มา

เรามีเพื่อนเยอะมาก เขาบอกเลยว่า “ลูกเขาต้องการสิ่งใด ให้หมดเลย” เพราะอะไร เพราะเราไม่เคยได้สิ่งนี้มา ลูกต้องการสิ่งใดเขาให้หมดเลย แล้วลูกก็เสียทุกคนเลย เพราะอะไร เพราะเรารักไม่ถูกทาง

นี่ก็เหมือนกัน ใช่! เราเคยทุกข์เคยยากมา สิ่งที่เคยทุกข์เคยยากมา อันนั้นมันเป็นเวรเป็นกรรมของคน แต่เราจะดูแลลูกหลานของเราไปด้วยศักยภาพ ด้วยความเป็นจริง เพื่อให้เขายืนอยู่ในสังคมได้ ไม่เป็นภาระของสังคม พ่อแม่สั่งสอน ไม่ใช่พ่อแม่ไม่สั่งสอน พ่อแม่สั่งสอนน่ะ “เอาแต่ใจ...เอาแต่ใจ” แล้วมันก็เสียกันไป

นี่พูดถึงทางโลก เขายังคิดได้ขนาดนั้นนะ แต่เรามาวัดมาวา เราต้องการวัดที่ดี ที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจ ถ้าวัดที่ดีเขาทำอย่างไรล่ะ

วัดบ้าน... เขาจะอึกทึกครึกโครมขนาดไหน มันก็ไม่มีปัญหา เพราะเขาต้องการเห็นไหม บ้านใครอยู่ใกล้วัดไหน ก็ไปทำบุญวัดนั้น เราก็ได้บุญกุศลของเรา แต่คนใกล้วัดนั้น เขาก็ไม่อยากทำบุญวันนั้น เพราะเขาเห็นพฤติกรรม เขาเห็นการกระทำของวัดนั้น แล้วเขาอยากไปที่อื่น ไอ้วัดนั้นก็พยายามจะเอาอกเอาใจกัน มีมโหรสพสมโภช ให้อึกทึกครึกโครมกันไป อึกทึกครึกโครมขนาดไหน ยิ่งอึกทึกครึกโครมคนก็ยิ่งพอใจ โอ้... ไปวัดสบาย... สะดวกสบายไปหมด นั้นก็เป็นวัดประเภทหนึ่ง!

วัดที่เขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาต้องการความสงบสงัดเห็นไหม เราไปวัดนะ เราไปเห็นเฉพาะหน้า เฉพาะส่วนที่เราได้ปฏิสันถารกัน แต่ ๒๔ ชั่วโมงที่เราไม่ได้ไปในวัดนั้น เขาทำอะไรกันอยู่ แล้วเวลาสิ่งที่ไม่เป็นความจริงของเขา เวลาที่เป็นมารยาทสังคม ที่เขาต้อนรับเรา มันก็แค่แป๊บเดียวนั่นน่ะ เราจะเห็นได้อย่างไร

แต่เวลาไปเข้าวัดนะ ศีล เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ธรรมะจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อแสดงธรรม เวลาพูดออกมานี่มันควักหัวอกออกมาแผ่เลย ว่ามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง มันไม่เป็นจริง! เดี๋ยวนี้โกหกหลอกลวงกันทั้งนั้น มาพูดพุทธพจน์! พุทธพจน์น่ะ! มันเป็นความจำมาทั้งนั้น ความจำใครก็พูดได้ ใครก็ทำได้ แต่ไม่เป็นความจริง เพราะพฤติกรรมมันไม่เป็นความจริง

นี่ก็เหมือนกัน เราไปวัดกัน เข้าวัดนะ ถ้าเป็นหน้าเทศกาล ไปวัดนะ เขาจะทำการพัฒนากันเต็มที่เลย เพื่อเอาไว้รับแขก เอาไว้ต้อนรับคนมาวัด เราเห็นได้หมด ต้นไม้ก็เพิ่งดัดแปลงใหม่ ตัดใหม่ ทำใหม่หมด

แต่ถ้าเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เขาทำกันทุกวัน ๆ มันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์โดยข้อวัตรปฏิบัติเห็นไหม ถ้าเป็นข้อวัตรปฏิบัติ มันเป็นอย่างนั้นตลอดชีวิต ตลอดไป มันตลอดไปเพราะอะไร เพราะมันมีหลักเกณฑ์ของใจใช่ไหม ถ้าใจมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ใจดวงนั้นมันวิวัฒนาการ มันพัฒนาของมัน มันออกมาจากความคิดความนึก

คนเรานี่ มโนกรรม กายกรรม วจีกรรม ถ้าการกระทำนั้นมันออกมาจากไหน ออกมาจากใจ ถ้าใจมันซาบซึ้งในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งต่าง ๆ พฤติกรรมมันแสดงออกมา ข้อวัตรปฏิบัติมันดัดแปลงใจนะ

เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ “โอ้... ธรรมะนี่มันละเอียดอ่อนมาก จะสอนใครได้หนอ...” มันจะมาได้อย่างไร ถ้าเขามาไม่ได้ เขาเป็นคน... เราก็เป็นคน แล้วเรามาได้อย่างไร เรามาได้เพราะว่า...

หลวงตาท่านอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นอยู่ พฤติกรรมของท่าน ท่านดูแล บำรุงรักษาอยู่นี่ ท่านตรงต่อธรรม ตรงต่อศีล ตรงต่อข้อวัตรปฏิบัติ เพราะท่านมีข้อวัตรเป็นเครื่องดำเนิน พอมีเครื่องดำเนิน ท่านก็ประพฤติปฏิบัติขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ของท่านได้

ขนาดปฏิบัติ เวลาเราปฏิบัติเห็นไหม ดูสิ เวลาคนเข้มแข็งขึ้นมา เราทำอะไรเป็นเรื่องปกติใช่ไหม เวลาคนอ่อนแอ ทำโน่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ เพราะใจมันอ่อนแอใช่ไหม คนที่มันเข้มแข็ง มันทำอะไรก็ได้ ประสบความสำเร็จหมดล่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดา นกมันก็บินได้เป็นเรื่องธรรมดา ปลามันก็อยู่ในน้ำเป็นธรรมดา คนที่เข้มแข็งเป็นปกติขึ้นมา เขาก็เป็นธรรมดาของเขา เขาทำงานของเขาด้วยความเข้มแข็ง มันเป็นเรื่องปกติใช่ไหม

แต่พอปกติขึ้นมาแล้ว พอเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป มันเป็นความเข้มแข็งของเขา มันทำไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ เพราะอะไร เพราะเป็นความเข้มแข็ง เป็นความปกติ มันก็เลย เอ่อ...เป็นเรื่องธรรมดา คือว่ามันมองไม่เห็นว่ามันเป็นประเด็นสำคัญอะไรเลย

แต่จริง ๆ มันสำคัญ สำคัญเพราะอะไร เพราะมันเป็นจริตนิสัยที่เราทำได้ใช่ไหม แต่คนอื่นเขาทำไม่ได้ แล้วทำอย่างไร “จะสอนได้อย่างไรหนอ...” อ๋อ..คนมาได้ด้วยข้อวัตรปฏิบัติไง ข้อวัตรปฏิบัติมันถึงเป็นการขัดเกลา เป็นการดำเนินให้คนเป็นคนดีขึ้นมาได้

ถ้าเป็นคนดีขึ้นมาได้ สิ่งนั้นน่ะวัตรปฏิบัติ มันถึงออกมาจากใจ ถ้าออกมาจากใจ ถ้าใจมันเข้มแข็ง มันทำสิ่งใดได้ เป็นประโยชน์ ใจนั้นมันจะมีประโยชน์ขึ้นมา นี่ราไปวัดไปวาก็เพื่อเหตุนี้ ถ้าไปวัดไปวาขึ้นมาเห็นไหม ความดีของใคร ความดีของเด็ก ความดีของผู้ใหญ่ ความดีมันแตกต่างกันไป นี่มาเพราะเรื่องของบุญกุศล

จริง ๆ นะ มองกันโดยโลกน่ะ ข้าวของเงินทองเป็นของหายาก กว่าเราจะหามาได้แต่ละชิ้นแต่ละอันนั้น เราต้องไปลงทุนลงแรงมา แล้วเราเสียสละออกไปนี่ มันเป็นของใหญ่โตไหม... เป็นของใหญ่โต! เป็นของใหญ่หลวงมากนะ! ยิ่งคนทุกข์คนยากนะ กว่าจะหาเงินทองมาได้แต่ละบาทแต่ละสตางค์ มันทุกข์ยากทั้งนั้นน่ะ แล้วได้มาก็มานบใส่หัว มาถวายพระ เพราะอะไร

...เพราะว่าประเพณีวัฒนธรรม เพราะอะไร... เพราะเขาเชื่อศรัทธาของเขา เรื่องบุญกุศลนี้มันเป็นเรื่องใหญ่โตไหม... ใช่! มันเป็นเรื่องใหญ่โต... แต่สิ่งที่ใหญ่โตกว่านั้น คือความรู้สึก คือหัวใจที่มันมีอำนาจ ที่จะเสียสละนั้นได้ แล้วสิ่งที่มันเสียสละมา จิตใจมันเป็นบุญกุศลขึ้นมา

แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติล่ะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันต้องการความสงบ ต้องการความสงัด ต้องการความวิเวก ต้องการความต่าง ๆ เห็นไหม นี่มันไม่กดถ่วงกัน เราทำบุญกุศลของเรา แต่ไม่ต้องไปกดถ่วงใคร

แต่ถ้าเราทำบุญกุศลของเรา สิ่งที่มีความสำคัญ มันต้องไปกดถ่วงเขาไปหมดเลย ความกดถ่วงคนอื่น อันนี้เป็นบุญไหม...เป็น! แต่สิ่งที่เราจะละเอียดขึ้นไปกว่านั้น มันเป็นความจริงไหม...เป็นความจริง! แล้วความจริงมันควรจะพัฒนาขึ้นมาไหม นี่มันถึงเป็นการวัดค่าของใจ ถ้าใจของเรามันเป็นตรงนั้น เห็นใจไหม...เห็นใจทุกๆ คน

เพราะอะไรรู้ไหม เพราะกระพี้ เปลือก แก่นของต้นไม้ มันมีความสำคัญทั้งหมด แต่คุณประโยชน์ของมันเป็นอย่างใด ถ้าคุณประโยชน์เป็นคุณงามความดี มันจะเป็นคุณงามความดีของมันนะ

ถ้าเป็นคุณงามความดีเห็นไหม ไม้เนื้อแข็ง ไม้เนื้อแก่น ใคร ๆ ก็ต้องการเป็นประโยชน์ทั้งนั้นนะ แต่มันมีมากมีน้อยล่ะ มันมีน้อย! นี่ก็เหมือนกัน คนก็เหมือนกัน ความรู้สึกของคนก็เหมือนกัน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันยิ่งแตกต่างหลากหลายขึ้นไปมหาศาลเลย สิ่งที่แตกต่างหลากหลายมหาศาล อันนี้มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากบุญเก่า กรรมเก่ากรรมใหม่อันหนึ่ง คือมันเป็นจริตเป็นนิสัยอันหนึ่ง

ถ้าจริตนิสัยมันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา นกมันก็บินได้ ปลามันก็อยู่ในน้ำเป็นเรื่องธรรมดา มันรู้ขึ้นมา จริตนิสัยที่มันเป็นธรรมดา มันจะขวนขวาย มันจะทำคุณงามความดีของมันจนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่คนที่ไม่ได้ทำ มันเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสากันนะ แต่เวลาพัฒนาขึ้นไปแล้ว เวลาเป็นสมาธิขึ้นมา มันก็เป็นสมาธิที่ดีขึ้นมา ถ้ามันเป็นปัญญา ปัญญามันก็จะชำระสะสางเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากเข้าไป

แต่ถ้าเป็นปัญญาของเรา! ปัญญาของเรานี่! ปัญญาเหมือนกัน เป็นโลกียปัญญา ปัญญาของเรา เราใช้ปัญญาแล้ว เราใช้ความคิดแล้ว ความคิดนี้มันมาจากโลก มาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่ได้มาจาสัมมาสมาธิ มันไม่ได้มาจากจิต มันมาจากภาวนามยปัญญา มันแตกต่างหลากหลายนะ

ถ้าวุฒิภาวะมันไม่ถึง มันจะแบ่งแยกไม่ออก มันแบ่งแยกไม่ได้ แล้วเวลาไปวัดที่เคร่งครัดในการปฏิบัติ เป็น “อัตตกิลมถานุโยค” มันเป็นความลำบากเปล่า ไม่ควรไปเลย ไปในที่อึกทึกครึกโครมดีกว่า สะดวกสบาย เขาต้อนรับอย่างดี... ชอบกันอย่างนั้น เห็นไหม แต่เวลาผลล่ะ เวลาจะเอาผล เราชอบผลอย่างไร

เวลาเราไปโรงพยาบาลนี่ โรงพยาบาลที่ไหน ยาเขาก็ไม่ดี ทุกอย่างไม่ดี แต่เขาต้อนรับดี เราก็ชอบใช่ไหม แต่ถ้าโรงพยาบาลไหน ถ้ายาเขามีคุณภาพ ยาที่มีคุณภาพมันหามาได้ยาก ยาที่มีคุณภาพมันมีราคามาก การจะให้ยานั้นได้ เขาต้องเตรียมความพร้อมของคนไข้อย่างเต็มที่แล้ว การให้ยาเฉพาะโรค ที่มันเป็นโรคขั้นวิกฤติขึ้นมา เขาต้องเตรียมคนไข้ให้แข็งแรงขึ้นมา นี่การเตรียมคนไข้ขึ้นมานี่ การฟื้นฟูคนไข้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราพอใจสิ่งใดเราก็จะได้สิ่งนั้น วุฒิภาวะของใจมันคิดอย่างนั้นเองว่าสะดวกสบาย สบาย ๆ สบายอย่างนี้ ถ้าสบาย ๆ โดยเศรษฐี มหาเศรษฐี เขาก็สบายของเขานะ เพราะเขามีความพร้อมของเขา ถ้าความสบายอย่างนั้น ความสบายโดยเศรษฐี มหาเศรษฐี เขามีพร้อมของเขา อันนั้นสาธุ! แต่เรามันขี้ทุกข์ขี้ยาก มันสบาย ๆ เราจะมีอะไรเป็นเครื่องดำรงชีวิตของเราล่ะ เราก็ต้องปากกัดตีนถีบกันทั้งนั้น

คนสบาย ๆ มันก็มี “ขิปปาภิญญา” มันเป็นอย่างนั้น แต่ขิปปาภิญญากว่าจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ต้องสร้างสมของเขามามหาศาล ดูชีวิตเราชีวิตหนึ่งสิ ตั้งแต่เกิดจนตาย เราทำอะไรบ้าง แล้วการเกิดการตายมันซับซ้อนมาอย่างนี้ เขาก็สั่งสมของเขามา

เราก็บอกว่านั่นมันเป็นเรื่องเอกสิทธิ์ เรื่องสิทธิส่วนบุคคล อย่าเอามาพูดเลย ใช่! ไม่เอามาพูด แต่เวลาเราปฏิบัติกัน เรามองแต่คนอื่นทำไมล่ะ ทำไมคนนี้ทำยาก ทำไมคนนี้ทำง่าย แล้วทำไมเราชอบง่าย ๆ ล่ะ ความที่เป็นง่าย ๆ ถ้ามันง่าย ๆ การทำงานของโลกมันก็ประสบความสำเร็จไปหมด

ถ้ามันง่ายแล้วเป็นความจริงมันก็เป็นอันหนึ่ง มันง่ายแต่มันไม่จริง มันง่ายแต่มันไม่จริงเพราะอะไร เพราะเราพยายามปัดเอาแต่สวะ เอาแต่ปัญหาซ่อนไว้ใต้พรม เราไม่รับผิดชอบ เราไม่รับรู้ มันปัดทิ้งหมดเลย แล้วเราจะแก้อะไรได้

ถ้าเราจะแก้ได้ เราต้องแก้ความลังเลสงสัย แก้ปมในหัวใจของเรา แต่เราปฏิเสธปมหมดเลย โน่นก็ไม่เป็นไร สบาย ๆ เราไม่เอาโรคภัยไข้เจ็บ เอาสิ่งที่มันเป็นประเด็นในหัวใจ โรคภัยไข้เจ็บเห็นไหม ดูเชื้อโรคสิ เขาต้องเอาเข้ากล้องจุลทรรศน์เขาถึงจะพิสูจน์ได้ เขาต้องเพาะเชื้อ ถึงจะรู้ว่าเป็นเชื้ออะไร

ไอ้เชื้อกิเลส ไอ้ความรู้สึกของเรานี้ ยิ่งมองไม่เห็นยากเข้าไปใหญ่ เพราะมันเป็นนามธรรม มันเกิดขึ้นมากับเรา เกิดกับความคิดของเรา เรายิ่งเห็นได้ยากใหญ่ แล้วเราคิดอะไรนะก็ถูกไปหมด ทุกอย่างทุกคนคิดว่าถูกหมด ความดีของเราต้องถูกหมด แต่ความดีที่เป็นความจริงในพระพุทธศาสนามันเป็นอย่างไร มันจะถอดถอนอย่างไร เห็นไหม มันถึงละเอียดอ่อนกว่านั้น วุฒิภาวะอันนี้สำคัญมาก

วุฒิภาวะของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ วุฒิภาวะของคนที่จะประพฤติปฏิบัติเข้ามา ที่ว่าละเอียด ๆ เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติไป ละเอียด ละเอียดสุดขนาดไหน มันละเอียดขนาดไหนเพราะมันมีวุฒิภาวะ มันถึงจะละเอียดอย่างนั้นเข้าไปได้ ถ้าเข้าถึงไปรื้อค้น เข้าไปจับต้อง เข้าไปพิสูจน์ได้ ถ้าไปจับต้องพิสูจน์ได้ นั่นน่ะสันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง จะไม่มีความลังเลสงสัยเลย

นี่พอประพฤติปฏิบัตินะ ว่าง ๆ ว่าง ๆ “นี้คืออะไรครับ โอ๊ย! ปัญญาผมเกิดขึ้นมาหลายรอบแล้ว ผมได้อะไรครับ...” นี่ไง มันไม่เป็นสันทิฏฐิโก มันไม่เป็นความจริงไง ถ้าเป็นความจริงนะ เราตัดขาด เราทำของเราเองนี่ ถามใคร..จะถามใคร... ถ้ายังถามอยู่...ผิดหมด!! เพราะเราสงสัย

หลวงตานะท่านไปอยู่ที่หนองผือ เวลาที่จิตท่านสงบลงมานะ แล้วเสวยอารมณ์... แล้วสงบลง แล้วเสวยอารมณ์... พอมันสงบลง โอ้โฮ... มันว่างมากเลย “เอ๊ะ! อย่างนี้ไม่ใช่หมดกิเลสแล้วหรือ” เห็นไหม ท่านเรียนมาไง พอบอกว่าอย่างนี้ไม่ใช่หมดกิเลสแล้วหรือ “ไม่เอา!” เพราะอย่างนี้ไม่ใช่หมดกิเลสแล้วหรือ คือ สงสัย คือไม่จริง ท่านปัดทิ้งเลย “ไม่เอา! อย่างนี้ไม่เอา” นี่คนที่มีวุฒิภาวะ! ขนาดมันว่างหมด มันปล่อยหมด มันว่าง... มันละเอียดมาก แต่ไม่มีเหตุมีผล ว่างเพราะอะไร มันวางอย่างไร มันขาดอย่างไร “อย่างนี้ไม่เอา” นี่คนที่มีวุฒิภาวะ! เป็นผลงานของเรา เราสัมผัสเอง เรายังไม่เชื่อเราเลย

เรายังต้องมีเหตุมีผลพอ เราถึงจะเชื่อได้ แล้วท่านพิจารณาต่อขึ้นไป ท่านถึงไปเห็นเป็นจุดเป็นต่อม ถ้าไปติดความพอใจนะ มันก็อยู่แค่นั้น มันไปไม่ได้ไง นี่ก็เหมือนกัน “ว่าง ๆ ว่าง ๆ ปัญญาของผมเป็นอย่างไรครับ อย่างนี้เป็นไง” เพราะอะไร เพราะอันนี้มันไม่เป็นความจริง ถ้ามันเป็นความจริง เป็นสันทิฏฐิโก มันจะเป็นความจริง

นี่แหละวุฒิภาวะ... วุฒิภาวะที่เราพยายามสร้างบารมีของเราขึ้นมา เราจะมีจุดยืนของเราขึ้นมา เราจะแก้ไขของเราขึ้นมาในหัวใจของเรา ดูสิ เขาหลอกลวงกันทางโลก เราไปเชื่อเขาได้อย่างไร ไอ้นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันหลอกเราในหัวใจ ทำไมเราหลงใหล ไปเชื่อมันได้อย่างไร

ถ้าเราเชื่อมันเพราะอะไร เพราะเราไม่มีจุดยืน เราไม่มีวุฒิภาวะ เราไม่สามารถยับยั้งมันได้ ถ้าไม่สามารถยับยั้งมันได้ พอยับยั้งมันเสร็จแล้ว มันจะพาเราไปใช่ไหม ยับยั้งเสร็จแล้วยังไม่เจอมันอีกเห็นไหม ต้องขุดคุ้ยหามัน มึงอยู่ไหน ไอ้ความลังเลสงสัย ไอ้ความคิดที่มันผุดออกมาจากใจนี่ มันอยู่ไหน พอมันจับได้ มันพิจาณาได้ มันตีแผ่ได้ มันทำลายหมดแล้ว มันทำลายคาเลย “มันสมุจเฉทปหาน” ตายเลยต่อหน้า พลิกศพกิเลสเลย เอากิเลสนี้มาพิสูจน์

ยถาภูตัง นี้กิเลสมันขาดแล้ว... ยถาภูตัง เกิดญาณทัสสนะ รู้อีกเห็นไหม... ยถาภูตัง ศพกิเลสมันนอนอยู่นี่ ญาณทัสสนะพลิกเลยว่ามันตายเพราะเหตุใด มันตายด้วยปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ มันตายด้วยสิ่งใด มันมีอาวุธสิ่งใด ทำสิ่งใดฆ่ามัน!! แล้วมันตายเพราะเหตุใด แล้วมันตายแล้ว มันตายกองอยู่นี้ ตายเพราะอะไร

นี่มันชัดเจนขนาดนั้น ถึงว่าเวลาเป็นอริยภูมินี่ มันจะมั่นคงมาก มันเป็นอกุปปธรรม มันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เพราะมีเหตุมีผลรองรับ เราถึงว่าเราต้องมีจุดยืนของเรา เราทำเพื่อประโยชน์ของเรานะ

ที่ไหนเขาเป็นไปเห็นไหม กระพี้ หญ้าต่าง ๆ มันมีมากมายไป ความเป็นแก่นสารในสังคม มันมีมากน้อยขนาดไหน ในการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เราจะมีแก่นสารของเรา แต่ไอ้พวกรากหญ้า ไอ้พวกกระพี้มันบอกว่า “ไอ้พวกแก่นสารนั้นนะ คือไอ้พวกขี้ทุกข์ อัตตกิลมถานุโยค ทำตัวให้ลำบาก” แต่เขาไม่รู้เลย เพราะเขาเป็นหญ้า เป็นกระพี้ เขาจะวัดค่ากับแก่นนั้นไม่ได้เลย ของเขานี้เป็นผุยผง เป็นขุยต่าง ๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่แก่นของเนื้อไม้ แก่นของธรรมมันมีประโยชน์มาก แต่จะกว่าจะหาแก่นของธรรมได้ เขาบอกว่า ...อัตตกิลมถานุโยค…

ดูสิ ดูความคิดของคน แล้วเราก็เชื่อเขา เราก็ต้องการเป็นแก่น ต้องการเป็นกระพี้ ต้องการเป็นรากหญ้า เพราะฝนตกมันก็งอกทันทีเลย ง่ายมาก ไม่ต้องไปเพาะพันธุ์ที่ไหนเลย มันจะเกิดทันทีเลย แต่ของเรากว่าจะเพาะพันธุ์ได้ กว่าจะทำได้ มันทุกข์ยากขนาดไหน

แต่มันเป็นความจริง เราจะทุ่มเทสิ่งใด เพื่อประโยชน์กับอะไร เราต้องทุ่มเทกับเรา เพื่อประโยชน์ของเรา พิสูจน์ของเรา ไม่เชื่ออะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ให้หัวใจเรามันยอมรับธรรม แล้วมันจะเชื่อธรรมตามความเป็นจริง ถ้าปฏิบัติธรรมให้มันเห็นจริงของมัน แล้วมันประสบของมัน แล้วมันจะเป็นสันทิฏฐิโก เป็นประโยชน์กับเรา เอวัง